Information Security คือ
INFOSEC (Information
Security) นั้น
ขณะนี้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยได้ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆเพราะเทคโนโลยีสารสนเทศ
(IT) นั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพื้นฐานการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน
บุคลากรที่มีความชำนาญด้าน INFOSEC กำลังเป็นที่ต้องการของหลายๆบริษัท
การรับสมัครบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้าน INFOSEC นั้น
จำต้องมีการกลั่นกรองกันพอสมควรโดยเริ่มจากคำถามเกี่ยวกับพื้นฐานด้าน INFOSEC
ที่สำคัญได้แก่ “CIA TRIAD” โดยที่ CIA
ก็คือ “Confidentiality, Integrity และ Availability”
ตามลำดับ 3 คำนี้ถือเป็นสิ่งที่ Security
Professional ต้องรู้และสามารถอธิบายได้
C = “Confidentiality” หมายถึง การรักษาความลับ (Secret) ของข้อมูลของเรา
ข้อมูลที่ถูก Hacker หรือผู้ที่ไม่มีสิทธิเข้ามาแอบอ่านก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
เราจึงต้องพยายามที่จะรักษาไว้ซึ่ง Confidentiality โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยเช่น
Cryptography ซึ่งพูดถึงการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลเป็นพื้นฐานสำคัญของการศึกษาเทคโนโลยีที่ใช้ในทางปฏิบัติจริงเช่น
VPN (Virtual Private Network), SSL (Secure Socket Layer) หรือ
PKI (Public Key Infrastructure) ล้วนแต่ต้องการความรู้ด้าน Cryptography
ทั้งสิ้น
ความรู้ด้านการเข้ารหัสและการถอดรหัสข้อมูลนี้ถูกนำมาจัดทดสอบในข้อสอบ CISSP
(Certified Information Security Systems Professional) ของ ISC2
(www.isc2.org) ซึ่งนับเป็น 1 ใน 10
Domain ของ Common Body of Knowledge ( CISSP Certification ถือเป็น Certification ทางด้าน INFOSEC ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดทั่วโลกในเวลานี้ )
I = “Integrity” หมายถึง ความแท้จริงของข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ถูกต้องของเราไม่ถูกแก้ไขโดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต
หรือไม่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยแฮกเกอร์ แครกเกอร์ หรือผู้บุกรุก (Hacker/
Cracker/ Intruder) ลองนึกดูว่าถ้าข้อมูลที่มีความสำคัญโดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทางด้านการเงินนั้นถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขจะส่งผลเสียให้กับองค์กรอย่างมากเพราะข้อมูลนั้นเชื่อถือไม่ได้การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรามีไฟล์แปลกๆมาอยู่ในฮาร์ดดิสก์หรือเราติดไวรัสคอมพิวเตอร์
ก็หมายถึงเราสูญเสีย I=Integrity เช่นกันดังนั้น
เราจึงต้องมีการตรวจสอบ Integrity ของไฟล์ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เราอยู่อย่างสม่ำเสมอ
โดยใช้โปรแกรมจำพวก Integrity Checker ที่สามารถคำนวณค่า “Checksum”
ให้กับไฟล์ข้อมูลของเราเพื่อนำมาเปรียบเทียบเวลาที่ไฟล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่นโปรแกรม Tripwire เป็นต้น (www.tripwire.com)
A = “Availability” หมายถึ งเมื่อเราต้องการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์แล้ว
ระบบต้องมีความสามารถในการรองรับอยู่เสมอ มิใช่ว่าระบบดีบ้างล่มบ้าง
หรือเมื่อเกิดปัญหาล่มแล้ว
ไม่มีระบบสำรองไว้ใช้งานหรือกว่าจะกู้ระบบได้ก็กินเวลานาน ทำให้เกิด “downtime”
ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ธุรกิจของเราติดขัดไม่สามารถดำเนินงานต่อไปได้
เราจึงควรมีแผนการป้องกันระบบล่มไม่ว่าจะเป็น BCP (Business Continuity
Planning) หรือ DRP (Disaster Recovery Planning) เผื่อไว้บ้าง เพราะหน่วยงานหลายๆแห่งยังคงมองข้ามเรื่องเหล่านี้
เราคงได้ทำความรู้จักกับ “CIA
TRIAD” กันไปแล้วแต่ CIA TRIAD นั้น
ยังไม่พอเพียงสำหรับการทำงานด้าน INFOSEC เนื่องจากยังมีเรื่องอื่นๆ
ที่เราต้องรู้อีกมากอาทิ “Physical Security, Access Control Systems &
Methodology, etc..” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน Domain ทั้ง 10 ของ Common Body of Knowledge ( CBK
)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น